:: การทำอะไรคนเดียวไม่ได้แย่เสียทีเดียว :::
ไม่เคยอ่านผลงานของคันฉัตร รังษีกาญจน์ส่องสักที จนเห็นหนังสือความเรียง “เดี่ยวดี เดี่ยวร้าย (One life stand)” โดยสำนักพิมพ์แซลมอนบุ๊คส์ในงานมหกรรมหนังสือครั้งล่าสุด ซึ่งพูดถึงชีวิตมนุษย์คนเดียวที่มนุษย์แมสไม่เข้าใจ ทั้งชื่อเล่มและโปรยปกหลังจูงใจฉันให้หยิบไปจ่ายเงินโดยไม่ลังเล, และวันนี้ฉันเอนหลังอ่านจบในเวลาเร็วกว่าสถิติมาตรฐานของตัวเอง ซึ่งเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก
“We are all born alone and die alone.”
เป็นโคว้ตคำคมที่คันฉัตรยกมาไว้ในหน้าเปิดเล่ม (ก็จริง เราเกิดคนเดียวตายคนเดียวทุกคนอ้ะ) ก่อนจะเข้าเรื่องและเริ่มสาธยายถึงการทำอะไรคนเดียว ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากการเป็น “ลูกคนเดียว” ของเขา, อาห์…ฉันก็เป็นลูกคนเดียวแค่ประเด็นนี้ก็น่าสนใจแล้ว
สิ่งที่คันฉัตรเขียนมาทั้งหมด ฉันเคยทำคนเดียวมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพูดคนเดียว (สำหรับฉันการพูดกับตัวเองนี่คือเบสิกมาก), เรียนคนเดียว (สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีหลายวิชาที่ไปนั่งเรียนคนเดียว), กินข้าวคนเดียว (ฉันเคยไปนั่งกินอาหารในร้านใหญ่ที่คนมักไปกันเป็นฝูง เช่น บุฟเฟต์ Hot Pot, MK, Sizzler, ซานตาเฟ่, เจฟเฟอร์ และฟูจิ คนเดียวมาแล้วนะเออ ไม่นับร้านเล็กร้านน้อยที่กินคนเดียวเป็นเรื่องปกติ), ดูหนังคนเดียว (เพื่อนสนิทไม่ชอบดูหนัง หรือไม่ก็ดูหนังคนละแนว บางทีรอเพื่อนคอเดียวกันแม่งก็ท่านั้นท่านี้เลยทำให้กูพานอดดูไปเสียฉิบ หลังๆมากูดูคนเดียวก็ได้วะ), ช็อปคนเดียว (นี่เรื่องปกติมาก), ออกกำลังกายคนเดียว (มีช่วงหนึ่งไปวิ่งที่สวนสาธารณะคนเดียวทุกเช้าวันเสาร์เพราะต้องลงวิ่งมินิมาราธอน), อยู่คนเดียว (สมัยเรียนเคยมีรูมเมตกับเขาเหมือนกัน แต่ตอนทำงานพบว่าการอยู่คนเดียวคือสวรรค์ย่อมๆ), ทำงานคนเดียว (ช่วงรับจ้างเขียนบทความก็โมเมได้นะว่าทำงานคนเดียว), ร้องคาราโอเกะคนเดียว (ที่เมเจอร์ปิ่นเกล้าเคยมีคาราโอเกะหยอดเหรียญ ระหว่างรอดูหนังฉันเคยกำเหรียญไปแหกปากร้องเพลงคนเดียวมาแล้วนะโว้ย), ป่วยคนเดียว (ก็ในเมื่ออยู่เดียวจะให้กูป่วยร่วมกับผีบ้านผีเรือนหรือไงคะ ดวกส์!) ยกเว้นเรื่องการไปดูคอนเสิร์ตคนเดียวและเที่ยวต่างประเทศคนเดียวที่ยังไม่มีโอกาส แต่ในอนาคตก็ไม่แน่
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าในจังหวะชีวิตที่เพื่อนคนอื่นมีลูกมีผัวกันหมดแล้วฉันคงไม่ต้องลุกขึ้นมาแต่งงานกับตัวเอง หรือถ้ายังหายใจต่อไปได้จนล่วงเข้าสู่บั้นปลายชีวิตที่ต้องถือไม้เท้าเดินยักแย่ยักยันฉันจะไม่ต้องพึ่งพาบริการ “การฆ่าตัวตายแบบรับการช่วยเหลือ (Assisted Suicide)” เหมือนพระเอกในหนังเรื่อง “ฉันก่อนเธอ” (แปลแบบกูเกิลทรานสเลตมาก จะบอกตรงๆก็กลัวคนหาว่าสปอยล์หนัง) หรอกนะ, ไม่ใช่อะไรหรอก ค่าบริการแม่งแพงมาก จะตายห่าทั้งทีก็ยังต้องใช้เงินจ้างให้คนมาปลิดวิญญาณให้ คือกูจนค่ะ ดวกส์! T_T
โดยรวมคือโอเคกับหนังสือเล่มนี้นะ ภาษาของคันฉัตรอ่านง่ายเหมือนเพื่อนเขียนสเตตัสเฟซบุ๊กให้อ่าน คือออกแนวเล่าสู่กันฟังปนบ่น แต่เป็นการบ่นที่สนุก อ่านเพลิน แถมมีข้อมูลมาสนับสนุนให้ความเรียงไม่ดูเบาหรือหลักลอยเหมือนเล่มอื่นๆของแซลมอนบุ๊คส์ ชอบที่ท้ายบทมีเกร็ดมนุษย์คนเดียวที่นำสถิติหรือข้อมูลในแง่ต่างๆของคนที่ทำอะไรคนเดียวจากทั่วโลกมาให้อ่าน ซึ่งหลายเรื่องเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมาก ซึ่งเราๆอาจรู้อยู่แล้วคือ ส่วนสำคัญที่ผลักให้หลายๆคนผันตัวเองจากมนุษย์แมสที่ชอบทำอะไรเป็นหมู่คณะมาเป็นมนุษย์คนเดียวก็คือ “คน” โดยเฉพาะคนใกล้ตัวนี่แหละแม่งตัวดีเลย บางทีกว่าจะหาฤกษ์หาชัยทำอะไรสักอย่างได้ต้องครบองค์ประชุมกันก่อน ซึ่งบางครั้งปลายทางคือ “ล่ม” เพราะคนส่วนใหญ่ไม่พร้อมหรือไม่ว่างตรงกัน บางทีเพื่อนเป็นเมนส์ ปวดหัว หรือเปลี่ยนใจกะทันหัน ไอ้ที่นัดไว้ดิบดีแม่งก็ยกเลิกเทกูหน้าตาเฉย (อีก้างปลาสลิด!) หรือแม้แต่การคอยขัดคอของเพื่อนร่วมกลุ่มบางคนก็พลอยทำให้ครั้งหน้าไม่อยากใช้ลมหายใจในบางกิจกรรมร่วมกับมัน ผลจึงลงเอยด้วยการทำอะไรคนเดียวสะดวกและสบายใจดี ไม่ต้องรอใคร ไม่ต้องง้อใคร ซึ่งก็ไม่ต้องเสียอารมณ์ทั้งสองฝ่าย, โดยเฉพาะฝ่ายเรา 555
เมื่อวานฉันบอกเพื่อนคนหนึ่งขณะเดินกลับจากเคลียร์งานวันเสาร์ในออฟฟิศว่าจะแวะไปดูหนังที่ลิโด้ เธอถามฉันว่า “จริงเหรอ เธอไปดูหนังคนเดียวเหรอ”
เฮ้ย! การดูหนังคนเดียวมันไม่ได้แย่นะ ฉันทำออกบ่อยไป จริงอยู่การได้ดูกับเพื่อนมันดีตรงที่เดินออกจากโรงแล้วได้ถกกัน แต่การดูคนเดียวมันก็ทำให้ได้ตกผลึกทางความคิดผ่านการคุยกับตัวเองนะหล่อน (เอ๊ะ! ทำไมยิ่งเขียนยิ่งดูโดดเดี่ยว 555+ ดวกส์!)
ฉันรู้สึกว่าหลายคนตีความการทำอะไรคนเดียวแบบผิดๆไปไกลหลายโยชน์ การทำอะไรคนเดียวมันไม่ได้แปลว่าเราเหงาหรือไม่มีเพื่อนนะเว้ย แต่บางอารมณ์เราก็อยากไปไหนคนเดียว ดูหนังคนเดียวไง โอเคนะ
แต่แม้ว่ามนุษย์คนเดียวจะสตรองแค่ไหน สุดท้ายเราก็เลี่ยงการอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่พ้น เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม คันฉัตรจึงเติมเต็มโคว้ตด้านบนเป็นโคว้ตนี้ว่า
“We are all born alone and die alone. But we can’t completely Iive alone.”